โปรแกรมภาษาซี
ประวัติความเป็นมาภาษาซี
ภาษาซีเกิดขึ้นในปี
ค.ศ. 1972 ผู้คิดค้นคือ Dennis Ritchie โดยพัฒนามาจากภาษาB
และ ภาษา BCPL ในปี 1988 Ritchie ได้กำหนดมาตรฐานของภาษาซีเรียกว่า
ANSI C เพื่อใช้เป็นตัวกำหนดมาตรฐานในการสร้างภาษาซีรุ่นต่อไป
1. โครงสร้างของโปรแกรมภาษาซี
1.1
ข้อความสั่งตัวประมวลผลก่อน (preprocessor statements)ข้อความสั่งตัวประมวลผลก่อนขึ้นต้นด้วยเครื่องหมาย
# เช่น #include<stdio.h> หมายความว่าให้ตัวประมวลผลก่อนไปอ่านข้อมูลจากแฟ้ม
stdio.h ซึ่งเป็นแฟ้มที่มีอยู่ในคลัง เมื่อโปรแกรมมีการใช้ข้อความสั่งอ่านและบันทึก
ข้อความสั่งตัวประมวลผลก่อนจะต้องเขียนไว้ตอนต้นขอโปรแกรม
1.2 รหัสต้นฉบับ (source
code) รหัสต้นฉบับ หมายถึง
ตัวโปรแกรมที่ประกอบด้วยข้อความสั่งและตัวฟังก์ชั่นต่างๆ
1.3 ข้อความสั่งประกาศครอบคลุม
(global declaration statements)ข้อความสั่งประกาศครอบคลุมใช้ประกาศตัวแปรส่วนกลาง
โดยที่ตัวแปรส่วนกลางนั้นจะสามารถถูกเรียกใช้จากทุกส่วนของโปรแกรม
1.4 ต้นแบบฟังก์ชัน (function
prototype)ต้นแบบฟังก์ชันใช้ประกาศฟังก์ชัน
เพื่อบอกให้ตัวแปลโปรแกรมทราบถึงชนิดของค่าที่ส่งกลับและชนิดของค่าต่างๆ ที่ส่งไปกระทำการในฟังก์ชัน
1.5 ฟังก์ชันหลัก (main
function) เมื่อสั่งให้กระทำการโปรแกรม ฟังก์ชันหลักจะเป็นจุดเริ่มต้นของการกระทำการ
ภายในฟังก์ชันหลักจะประกอบด้วยข้อความสั่งและข้อความสั่งที่เรียกใช้ฟังก์ชั่น
1.6 ฟังก์ชัน (function) ฟังก์ชัน หมายถึง กลุ่มของข้อความสั่งที่ทำงานใดงานหนึ่งโดยเป็นอิสระจากฟังก์ชันหลัก
แต่อาจมีการรับส่งค่าระหว่างฟังก์ชันและฟังก์ชันหลัก
1.7
ข้อความสั่งประกาศตัวแปรเฉพาะที่ (local declaration statements) ข้อความสั่งประกาศตัวแปรเฉพาะที่ ใช้ประกาศตัวแปรเฉพาะที่
โดยที่ตัวแปรเฉพาะที่จะสามารถถูกเรียกใช้เฉพาะภายในฟังก์ชันนั้น
1.8 การแปลและกระทำการโปรแกรม
(program compilation and execution) เมื่อได้เขียนและป้อนข้อความสั่งตัวประมวลผลก่อนและรหัสต้นฉบับลงในโปรแกรมอิดิเตอร์เสร็จแล้วจะต้องเรียกตัวแปรโปรแกรมมาเพื่อให้แปลภาษาซีให้เป็นภาษาเครื่อง
หากโปรแกรมนั้นเขียนได้ถูกต้องตรงตามกฎของภาษาซี ตัวแปรโปรแกรมจะแปลโปรแกรมภาษาซีให้เป็นภาษาเครื่อง
แล้วนำไปเก็บไว้ในแฟ้มชื่อเดียวกันแต่มีนามสกุลเป็น .obj จากนั้นตัวเชื่อมโยง
(linker) จะต้องนำฟังก์ชันจากคลัง (library function)
ต่างๆที่โปรแกรมได้เรียกใช้มารวมเข้ากับแฟ้ม .obj แล้วนำไปเก็บไว้ในแฟ้มชื่อเดิม แต่มีนามสกุลไฟล์เป็น .exe เมื่อต้องการกระทำการโปรแกรมก็สามารถป้อนข้อมูลเข้า (input data) ให้กับโปรแกรม ซึ่งจะได้ผลการกระทำ (output)
โครงสร้างพื้นฐานของภาษา C
โครงสร้างพื้นฐานของโปรแกรมภาษา
C ประกอบไปด้วยโปรแกรมย่อย หรือเรียกว่าฟังก์ชัน (function) อย่างน้อย 1 ฟังก์ชัน คือ ฟังก์ชัน main() ซึ่งมีรูปแบบดังนี้
ฟังก์ชัน main() ประกอบด้วย 3 ส่วนหลัก คือ
1. ส่วนหัวของฟังก์ชัน
ประกอบด้วย ชนิดข้อมูล void ชื่อฟังก์ชัน main ตามด้วยเครื่องหมาย () ตามลำดับ
2. ส่วนการประกาศตัวแปร
ใช้สำหรับประกาศตัวแปรชนิดต่างๆ เพื่อเก็บข้อมูลระหว่างการประมวลผล
3. ส่วนคำสั่ง
ประกอบด้วยคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการรับเข้าและการแสดงผลข้อมูล
และคำสั่งประมวลผลอื่นๆ
ส่วนการประกาศตัวแปรและคำสั่งจะต้องเขียนอยู่ระหว่างเครื่องหมาย
{ และ } เสมอ
ทั้งสองส่วนนี้ใช้สำหรับการนิยามการทำงานของฟังก์ชัน main() หรือเป็นการนิยามการทำงานของโปรแกรม
และคำสั่งทุกคำสั่งในภาษาซี จะต้องปิดท้ายด้วยเครื่องหมาย ; เสมอ
การแสดงผลลัพธ์เบื้องต้น
คำสั่งที่ใช้สำหรับแสดงผลคือ
คำสั่ง printf ()
โปรแกรมพิมพ์ข้อความออกทางจอภาพ
ผลลัพธ์คือ
the
first output from C
บรรทัดที่ 1
เป็นการใช้คำสั่งของตัวประมวลผลก่อนซีที่มีชื่อว่า include ซึ่งขึ้นต้อนด้วยอักขระ # ในที่นี้คำสั่ง #include จะมีผลให้แฟ้มชื่อ stdio.h
ซึ่งเป็นแฟ้มส่วนหัวที่ใช้เก็บรวบรวมคำสั่งที่เกี่ยวข้องกับการรับ
และการแสดงผลข้อมูล ถูกอ่านเข้ามาเพื่อประมวลผลร่วมกับโปรแกรม output1.c
เครื่องหมาย
< > ล้อมรอบชื่อแฟ้ม stdio.h
ใช้บอกตำแหน่งของแฟ้มในเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งในที่นี้คือในสาระบบ (directory) include
บรรทัดที่ 4
เรียกใช้คำสั่ง printf () ซึ่งเป็นเพียงคำสั่งเดียวของโปรแกรม
output1.c การทำงานของโปรแกรม printf () ได้ถูกนิยามในแฟ้มส่วนหัว stdio.h ตามมาตรฐาน ANSI
C และด้วยเหตุนี้โปรแกรม output1.c
จึงต้องมีคำสั่ง #include <stdio.h> เพื่อให้สามารถประมวลผลคำสั่ง printf () ได้ถูกต้อง
จะเห็นได้ว่าขุดอักขระ
\n ที่ปรากฏเป็นส่วนหนึ่งของสายอักขระในบรรทัดที่4 ไม่ได้แสดงผลออกทางจอภาพ เหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากว่าอักขระ \ ซึ่งเรียกว่า อักขระหลีก (escape character) มีผลให้อักขระ 1 ตัวที่ตามมา(ในที่นี้คือ n) มีความหมายเปลี่ยนไปจากปกติ สำหรับชุดอักขระ \n คอมไพเลอร์ภาษาซีได้ กำหนดให้มีความหมายเป็น ขึ้นบรรทัดใหม่ และนอกจาก \n
แล้วยังมีชุดอักขระของอักขระหลีกอื่นที่มีความหมายแตกต่างกันออกไป
เช่น
การดำเนินการในการเขียนโปรแกรมภาษา C มีอยู่ 3 ประเภท คือ การคำนวณทางคณิตศาสตร์ การดำเนินการทางตรรกศาสตร์ และการเปรียบเทียบ
ซึ่งการดำเนินการแต่ละประเภทจะมีเครื่องหมายที่ต้องใช้เพื่อเขียนคำสั่งสำหรับการดำเนินการประเภทนั้น
ๆ ดังรายละเอียด
เครื่องหมายการคำนวณทางคณิตศาสตร์
เครื่องหมายที่ใช้สำหรับการคำนวณทางคณิตศาสตร์ใช้ภาษา C สรุปดังนี้
เครื่องหมาย
|
ความหมาย
|
ตัวอย่าง
|
+
|
บวก
|
3+2 การบวกเลข 3
บวกกับ 2 ได้ผลลัพธ์คือ 5
|
-
|
ลบ
|
3 - 2 การลบเลข 3 ลบกับ 2 ได้ผลลัพธ์คือ 1
|
*
|
คูณ
|
2*3 การคูณเลข 3
บวกกับ 2 ได้ผลลัพธ์คือ 6
|
/
|
หาร
|
15/2 การหาร 15
หารกับ 2 ได้ผลลัพธ์คือ 7
|
%
|
หารเอาเศษ
|
15%2การหารเอาเศษ
15 หารกับ 2 ได้ผลลัพธ์คือ 1
|
++
|
เพิ่มค่าขึ้น 1 โดย
a++ จะนำค่าของ a ไปใช้ก่อนแล้วจึงเพิ่มค่าของ
a ขึ้น 1
++a จะเพิ่มค่าของ a ขึ้น 1 ก่อนแล้วจึงนำค่าของ a ไปใช้
|
b=a++;
จะมีความหมายเทียบเท่ากับ 2
บรรทัดต่อไปนี้
b=a;
a=a+1;
b=++a;
จะมีความหมายเทียบเท่ากับ 2
บรรทัดต่อไปนี้
a=a+1;
b=a;
|
--
|
ลดค่า 1 โดย
a-- จะนำค่าของ a ไปใช้ก่อน
แล้วจึงลดค่าของ a ลง 1
--a จะลดค่าของ a ลง 1 ก่อน แล้วจึงนำค่าของ a ไปใช้
|
b=a--;
จะมีความหมายเทียบเท่ากับ 2
บรรทัดต่อไปนี้
b=a;
a=a-1;
b=--a;
จะมีความหมายเทียบเท่ากับ 2
บรรทัดต่อไปนี้
a=a-1;
b=a;
|
ตัวดำเนินการเปรียบเทียบ
ใช้เปรียบเทียบค่า 2
ค่าเพื่อแสดงการเลือก ซึ่งโปรแกรมโดยทั่วไปใช้ในการทดสอบเงื่อนไขตามที่กำหนด
การเปรียบเทียบโดยการเท่ากันของ 2 ค่าจะใช้เครื่องหมาย
==
เครื่องหมาย
|
ความหมาย
|
ตัวอย่าง
|
>
|
มากกว่า
|
a > b a มากกว่า
b
|
>==
|
มากกว่าหรือเท่ากับ
|
a >= b a มากกว่าหรือเท่ากับ b
|
<
|
น้อยกว่า
|
a < b a น้อยกว่า
b
|
<==
|
น้อยกว่าหรือเท่ากับ
|
a <= b a น้อยกว่าหรือเท่ากับ b
|
==
|
เท่ากับ
|
a == b a เท่ากับ b
|
!==
|
ไม่เท่ากับ
|
a != b a ไม่เท่ากับ
b
|
ตัวดำเนินการตรรกะ
การดำเนินการเปรียบเทียบค่าทางตรรกะ( และ หรือ ไม่)
เครื่องหมาย
|
ความหมาย
|
ตัวอย่าง
|
&&
|
และ
|
x < 60 && x > 50 กำหนดให้ x มีค่าในช่วง
50 ถึง 60
|
||
|
หรือ
|
x == 10 || x == 15 กำหนดให้ x มีค่าเท่ากับตัวเลข
2 ค่า คือ 10 หรือ 15
|
!
|
ไม่ใช่
|
x = 10 !x กำหนดให้ x ไม่เท่ากับ 10
|
การเขียนนิพจน์ในภาษา C
นิพจน์ในภาษา C ก็คือ
การนำข้อมูลและตัวแปรในภาษา C มาดำเนินการด้วยเครื่องหมายทางคณิตศาสตร์ ตรรกศาสตร์
หรือเครื่องหมายเปรียบเทียบในภาษา C เป็นตัวสั่งงาน ดังตัวอย่าง
เครื่องหมาย
|
นิพจน์ทางคณิตศาสตร์ในภาษา
C
|
+
|
a + b + c
|
-
|
A – b – c
|
*
|
2 * a * b
|
/
|
A / B
|
ลำดับความสำคัญของเครื่องหมาย
ส่วนใหญ่นิพจน์ที่เขียนขึ้นในโปรแกรมมักจะซับซ้อน
มีการดำเนินการหลายอย่างปะปนอยู่ภายในนิพจน์เดียวกัน
ลำดับความสำคัญ
|
ลำดับความสำคัญจากสูงไปต่ำ
|
1
|
( )
|
2
|
!, ++, - -
|
3
|
*, /, %
|
4
|
+, -
|
5
|
<, <=, >, >=
|
6
|
= =, !=
|
7
|
&&
|
8
|
||
|
9
|
*=, /=, %=, += ,-=
|
คำสั่งเบื้องต้นของภาษา C
ฟังก์ชันรับข้อมูล (input functions)
ในเนื้อหาฟังก์ชันการับข้อมูลของภาษา C
มีฟังก์ชันที่ใช้ในการรับข้อมูลจากคีย์บอร์ด อยู่หลายฟังก์ชันที่จะกล่าวถึง ดังนี้คือ ฟังก์ชัน scanf( ), ฟังก์ชัน getchar( ), ฟังก์ชัน getch( ), ฟังก์ชัน getche( ) และฟังก์ชัน gets( ) ซึ่งแต่ละฟังก์ชันมีรายละเอียดของการใช้งานดังนี้
ฟังก์ชัน scanf( )
เป็นฟังก์ชันที่ใช้ในการรับข้อมูล จากคีย์บอร์ดเข้าไปเก็บไว้ในตัวแปรที่กำหนดไว้โดยสามารถรับข้อมูลที่เป็นตัวเลขจำนวนเต็ม
ตัวเลขทศนิยม ตัวอักขระตัวเดียว หรือข้อความก็ได้
รูปแบบการใช้งานฟังก์ชัน
scanf(control
string, argument list);
โดยที่
control string
คือ
รหัสรูปแบบข้อมูล (format code)
โดยจะต้องเขียนอยู่ภายใต้เครื่องหมาย “……..”
(double quotation)
argument
list คือ
ชื่อตัวแปรที่ใช้เก็บข้อมูลโดยจะต้องใช้เครื่องหมาย &
(ampersand) นำหน้าชื่อตัวแปร ยกเว้นตัวแปรชนิด string
ไม่ต้องมีเครื่องหมาย
& นำหน้าชื่อ ถ้ามีตัวแปรมากกว่า 1
ตัวแปร
ให้ใช้เครื่องหมาย , (comma)
คั่นระหว่างตัวแปรแต่ละตัว
ตาราง แสดงรหัสรูปแบบข้อมูลที่สามารถใช้ในฟังก์ชัน
printf()
รหัสรูปแบบ
(format code)
|
ความหมาย
|
%c
|
ใช้กับข้อมูลชนิดตัวอักขระตัวเดียว (single character :
char)
|
%d
|
ใช้กับข้อมูลชนิดตัวเลขจำนวนเต็ม (integer :
int) โดยสามารถใช้กับตัวเลขฐาน 10
เท่านั้น
|
%e
|
ใช้กับข้อมูลชนิดตัวเลขจุดทศนิยม (floating point : float)
|
%f,%lf
|
ใช้กับข้อมูลชนิด
float และ double ตามลำดับ
|
%g
|
ใช้กับข้อมูลชนิด
float
|
%h
|
ใช้กับข้อมูลชนิด
short integer
|
%l
|
ใช้กับข้อมูลชนิด
int โดยใช้กับตัวเลขฐาน
8, ฐาน 10 และฐาน 16
|
%o
|
ใช้กับข้อมูลชนิด
int โดยสามารถใช้กับตัวเลขฐาน 8
เท่านั้น
|
%u
|
ใช้กับข้อมูลชนิด
unsigned int โดยใช้กับตัวเลขฐาน 10
เท่านั้น
|
%x
|
ใช้กับข้อมูลชนิด
int โดยสามารถใช้กับตัวเลขฐาน 16
เท่านั้น
|
%s
|
ใช้แสดงข้อมูลชนิด
string
|
%p
|
ใช้แสดงค่า address ของตัวแปรพอยเตอร์
|
ตัวอย่างโปรแกรม
#include<stdio.h>
void
main(void)
{
int
a;
scanf("%d", &a);
}
ฟังก์ชัน getchar( )
เป็นฟังก์ชันที่ใช้รับข้อมูลจากคีย์บอร์ดเพียง 1
ตัวอักขระ
โดยการรับข้อมูลของฟังก์ชันนี้จะต้องกดแป้น enter
ทุกครั้งที่ป้อนข้อมูลเสร็จ
จึงทำให้เห็นข้อมูลที่ป้อนปรากฏบนจอภาพด้วย
ถ้าต้องการนำข้อมูลที่ป้อนผ่านทางคีย์บอร์ดไปใช้งาน จะต้องกำหนดตัวแปรชนิด single
character (char) ขึ้นมา 1
ตัว
เพื่อเก็บค่าข้อมูลที่รับผ่านทางคีย์บอร์ด
ในทางตรงกันข้ามถ้าไม่ต้องการใช้ข้อมูลที่ป้อนผ่านทางคีย์บอร์ดก็ไม่ต้องกำหนดตัวแปรชนิด char
ขึ้นมา
รูปแบบการใช้งานฟังก์ชัน
getchar( );
หรือ char_var
= getchar( );
โดยที่
getchar( ) คือ ฟังก์ชันที่ใช้รับข้อมูลเพียง 1 ตัวอักขระจากคีย์บอร์ด โดยฟังก์ชันนี้จะไม่มี argument ซึ่งอาจจะใช้ getchar(void)
แทนคำว่า getchar( ) ก็ได้ แต่นิยมใช้ getchar(
) มากกว่า
char_var คือ ตัวแปรชนิด
char ซึ่งจะเก็บข้อมูล 1
ตัวอักขระที่ป้อนผ่านทางคีย์บอร์ด
ตัวอย่างโปรแกรม
/*
getchar1.c */
#include<stdio.h>
#include<conio.h>
void main(void)
{
char cha;
clrscr( );
printf("Enter a single character : ");
cha = getchar( );
printf("You type a character is ...%c \n",cha);
}
ฟังก์ชัน getch( )
เป็นฟังก์ชันที่ใช้รับข้อมูลเพียง 1 ตัวอักขระเหมือนกับฟังก์ชัน
getchar( ) แตกต่างกันตรงที่เมื่อใช้ฟังก์ชันนี้รับข้อมูล
ข้อมูลที่ป้อนเข้าไปจะไม่ปรากฏให้เห็นบนจอภาพและไม่ต้องกดแป้น enter
ตาม
รูปแบบการใช้งานฟังก์ชัน
getch( );
หรือ char_var = getch( );
โดยที่
getch( ) คือ
ฟังก์ชันที่ใช้รับข้อมูลเพียง 1 ตัวอักขระจากคีย์บอร์ด โดยฟังก์ชันนี้จะไม่มี argument ดังนั้นอาจจะใช้ getch(void) แทนคำว่า getch( ) ก็ได้ แต่นิยมใช้
getch( ) มากกว่า
char_var คือ ตัวแปรชนิด
char ซึ่งจะเก็บข้อมูล 1
ตัวอักขระที่ป้อนผ่านทางคีย์บอร์ด
โปรแกรมตัวอย่าง
แสดงโปรแกรมการใช้ฟังก์ชัน getch(
)
/*
getch1.c */
#include<stdio.h>
#include<conio.h>
void main(void)
{
char ch;
clrscr( );
printf("Enter a single character : ");
ch = getch( );
printf("\nYou type a character is ...%c \n",ch);
getch( );
}
ฟังก์ชัน gets( )
เป็นฟังก์ชันที่ใช้รับข้อมูลชนิดข้อความ (string) จากคีย์บอร์ด
จากนั้นนำข้อมูลที่รับเข้าไปเก็บไว้ในตัวแปรสตริง (string variables)
ที่กำหนดไว้
รูปแบบการใช้งานฟังก์ชัน
gets(string_var);
โดย
string_var คือ ตัวแปรสตริง
ซึ่งจะใช้เก็บข้อมูลชนิดข้อความ (string constant)
gets( ) คือ ฟังก์ชันที่ใช้รับข้อความจากคีย์บอร์ด แล้วไปเก็บไว้ในตัวแปรสตริง
โปรแกรมตัวอย่าง
แสดงโปรแกรมการใช้ฟังก์ชัน gets( )
/*
gets1.c /
#include<stdio.h>
#include<conio.h>
void main(void)
{
char pro[50];
clrscr( );
printf("Enter your province : ");
gets(pro);
printf("Your province is ...%s\n", pro);
getch( );
}
สรุปข้อแนะนำการใช้ฟังก์ชันรับข้อมูล (input
functions)
-
เมื่อต้องการรับค่าข้อมูล string ควรใช้ฟังก์ชัน gets( ) หรือ scanf( )
- เมื่อต้องการรับตัวเลขหรือตัวอักษรเพียง 1 ตัว
ที่ไม่ต้องการเห็นบนจอภาพ
และไม่ต้องกดแป้น enter ควรใช้ฟังก์ชัน getch( ) แต่ถ้าต้องการเห็นบนจอภาพด้วยควรใช้ฟังก์ชัน getche( )
- เมื่อต้องการรับข้อมูลตัวเลขที่มากกว่า 1 ตัว
เช่น ตัวเลขจำนวนเต็มหรือตัวเลขทศนิยม ควรใช้ฟังก์ชัน scanf( )
- กรณีที่ใช้ฟังก์ชัน scanf( ) รับข้อมูลติดต่อกันมากกว่า 2
ครั้ง
อาจเกิดความผิดพลาดในการรับข้อมูล
ดังนั้นจึงควรใช้คำสั่ง ch
= getchar( ); คั่นก่อนที่จะรับข้อมูลครั้งที่ 3
โดยจะต้องมีคำสั่งประกาศตัวแปร char
ch; ไว้ด้วย
ที่มา : http://wmcclaguage.blogspot.com/p/4.html
แสดงผลให้เป็นระเบียบด้วยอักขระควบคุมการแสดงผล
นอกจากนี้เรายังสามารถจัดรูปแบบการแสดงผลให้ดูเป็นระเบียบมากขึ้น เช่น
การขึ้นบรรทัดใหม่หลังแสดงข้อความ หรือเว้นระยะแท็บระหว่างข้อความ
โดยใช้อักขระควบคุมการแสดงผลร่วมกับคำสั่ง printf ในภาษาซีมี
อักขระควบคุมการแสดงผลหลายรูปแบบด้วยกัน ดังแสดงต่อไปนี้
อักขระควบคุมการแสดงผล
|
ความหมาย
|
\n
|
ขึ้นบรรทัดใหม่
|
\t
|
เว้นช่องว่างเป็นระยะ
1 แท็บ (6 ตัวอักษร)
|
\r
|
กำหนดให้เคอร์เซอร์ไปอยู่ต้นบรรทัด
|
\f
|
เว้นช่องว่างเป็นระยะ
1 หน้าจอ
|
\b
|
ลบอักขระสุดท้ายออก
1 ตัว
|
ตัวแปร (variables)
คอมพิวเตอร์มีส่วนประกอบที่สำคัญส่วนหนึ่งคือ
หน่วยความจำ ซึ่งเปรียบได้กับสมองของมนุษย์ทำหน้าที่เก็บข้อมูลในขณะที่ประมวลผล ในการประมวลผลแต่ละครั้งมักต้องใช้ข้อมูลจำนวนมาก
ซึ่งจำเป็นจะต้องเก็บไว้ในหน่วยความจำ เป็นเก็บแล้วจะต้องทราบตำแหน่งที่นำข้อมูลเข้าไปเก็บไว้ภายในของหน่วยความจำด้วย
เพื่อให้สามารถนำข้อมูลเหล่านั้นกลับมาประมวลผลได้ ดังนั้นตัวแปรจึงมีหน้าที่สำคัญที่ช่วยในการเก็บข้อมูลแต่ละประเภทที่ผู้ใช้ป้อนเข้าสู่โปรแกรม
ชนิดข้อมูล (data
types)
ข้อมูลที่ใช้ในโปรแกรมมีหลายชนิด
ซึ่งนักเขียนโปรแกรมต้องเลือกใช้ตามความเหมาะสมกับการใช้งาน
ข้อมูลมีขนาดที่แตกต่างกันไปตามชนิดข้อมูล นอกจากนี้แล้ว ชนิดข้อมูลยังอาจมีขนาดที่แตกต่างกันโดยขึ้นกับเครื่องคอมพิวเตอร์และตัวแปลโปรแกรมที่ใช้ในการประมวลผล
แต่โดยทั่วไปแล้วในไมโครคอมพิวเตอร์ ชนิดข้อมูลมีการใช้ในโปรแกรมและขนาดดังนี้
หลักการตั้งชื่อตัวแปร
1.
ต้องขึ้นต้นด้วยตัวอักษร A-Z หรือ a-z หรือเครื่องหมาย _ (Underscore) เท่านั้น
2.
ภายในชื่อตัวแปรสามารถใช้ตัวอักษร A-Z หรือ
a-z หรือตัวเลข 0 - 9 หรือเครื่องหมาย
_
3.
ภายในชื่อห้ามเว้นช่องว่าง หรือใช้สัญลักษณ์นอกเหนือจากข้อ 2
4.
ตัวอักษรเล็กหรือใหญ่มีความหมายแตกต่างกัน
ตัวอย่างการตั้งชื่อตัวแปรในภาษา
C ทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้องตามหลักการ แสดงดังนี้
Casino Slot Machines Near Me - MapYRO
ตอบลบFind Casino Slot Machines Near Me, you can find it on MapYRO! 밀양 출장안마 Find your way around 안양 출장마사지 the 청주 출장안마 casino, find where 거제 출장샵 everything is located with this map. 속초 출장마사지
check out here dog dildo,wolf dildo,dog dildo,dog dildo,wholesale sex toys,horse dildo,wholesale sex toys,vibrators,horse dildo internet
ตอบลบ